สารอาหารบำรุงตับ
ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่มีบทบาทในกระบวนการเผาผลาญของร่างกายมีหน้าที่ในการสร้างน้ำดีช่วยย่อยอาหารประเภทไขมัน เก็บพลังงานสำรอง เป็นแหล่งสะสมวิตามินต่างๆ เช่น เอ ดี บี 12 สร้างสารป้องกันการแข็งตัวของเลือดทำหน้าที่กิน และทำลายเชื้อโรคและทำหน้าที่กำจัดสารพิษออกจากร่างกายหากเซลล์ตับของเราถูกทำลายหรือมีการเสื่อมสภาพจะเกิดผลเสียต่อร่างกาย สารอาหารที่มีงานวิจัยว่าให้ผลดีต่อตับ ได้แก่
เลซิทิน (Lecithin)
ให้สารออกฤทธิ์ฟอสฟาทิดิลโคลีน (phosphatidylcholine) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการทำงานของเซลล์โดยเฉพาะตับ ทำให้การทำงานของตับมีประสิทธิภาพดีขึ้น ลดการเกิดไขมันพอกตับในสัตว์ทดลอง ลดการอุดตันของถุงน้ำดี ปรับสมดุลโคเลสเตอรอล ช่วยความจำและความสามารถในการเรียนรู้ให้สารอิโนซิทอล (Inositol) ทำให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้น
แอล-กลูตามีน (L-Glutamine)
หนึ่งในสารตั้งต้นในการผลิตกลูต้าไธโอน กระตุ้นตับให้ผลิตกลูต้าไธโอนเพิ่มขึ้นซึ่งกลูต้าไธโอนจะเป็นตัวทำลายสารพิษจากตับ
ไกลซีน (Glycine)
หนึ่งในสารตั้งต้นในการผลิตกลูต้าไธโอน กระตุ้นตับให้ผลิตกลูต้าไธโอนเพิ่มขึ้นปกป้องตับจากการถูกทำลายโดยสารพิษ ไขมันเกาะตับ และผลเสียจากการดื่มแอลกอฮอล์ ป้องกันโรคตับแข็ง
เอ็น-อะเซทิลแอล-ซีสเทอีน (N-AcetylL-Cysteine)
หนึ่งในสารตั้งต้นในการผลิตกลูต้าไธโอนกระตุ้นตับให้ผลิตกลูต้าไธโอนเพิ่มขึ้นซึ่งกลูต้าไธโอนจะเป็นตัวทำลายสารพิษจากตับ
แอล-กลูตามิค แอซิด (L-Glutamic Acid)
สามารถเปลี่ยนเป็น แอลกลูตามีนได้ภายในร่างกาย มีงานวิจัย การนำ แอล-กลูตามิคแอซิดมารักษาโรคตับวาย นอกจากนี้แอล-กลูตามิคแอซิดเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญ และจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญไขมัน และน้ำตาล
References
- Iwata T, Kimura Y, Tsutsumi K, Furukawa Y, Kimura S (February 1993). “The effect of various phospholipids on plasma lipopro teins and liver lipids in hypercholesterolemic rats”. J. Nutr. Sci. Vitaminol. 39(1): 63–71. PMID 8509902
- Guyton, Arthur C.; Hall, John E. (2005), Textbook of Medical Physiology (11th ed.), Saunders, p. 393.
- Rachel Nowak. “Amino acid found in deep space – 18 July 2002 – New Scientist”. Retrieved 2007-07-01.
- William V. McDermott, Jr., M.D., Joan Wareham, B.A., and Athol G. Riddell, M.B., F.R.C.S.. “ Treatment of Hepatic Coma with L-Glutamic Acid” N Engl J Med 1955; 253:1093-1102 December 22, 1955