“เซ็บเดิร์ม” โรคผื่นแพ้ต่อมไขมัน (seborrheic dermatitis)
“เซ็บเดิร์ม” โรคผื่นแพ้ต่อมไขมัน (Seborrheic Dermatitis)
โรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) เป็นโรคที่มีภาวะผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง บริเวณที่พบบ่อยของผื่นเซ็บเดิร์ม คือบริเวณใบหน้า โดยจะขึ้นที่หัวคิ้ว ข้างจมูก หลังหู ซึ่งเป็นบริเวณที่พบได้บ่อยที่สุด ในคนที่มีอาการรุนแรงจะพบบริเวณหน้าอกหรือแผ่นหลังด้วย ขณะที่บางรายก็อาจเกิดที่บริเวณหนังศีรษะเพียงอย่างเดียว ถือเป็นโรคเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และส่งผลต่อชีวิตประจำวัน โดยจะส่งผลต่อจิตใจโดยตรง ทำให้ขาดความมั่นใจจากโรคผิวหนังเรื้อรัง ทั้งนี้โรคเซ็บเดิร์มอาจทำให้สับสนกับโรคสะเก็ดเงิน อีสุกอีใส หรืออาการภูมิแพ้ได้
สังเกตอาการโรคเซ็บเดิร์มได้จากอาการต่อไปนี้
นอกจากบริเวณศีรษะที่พบได้บ่อยแล้ว โรคเซ็บเดิร์มยังสามารถเป็นตามผิวหนังบริเวณที่มีความมัน เช่น ใบหน้า โดยเฉพาะบนเปลือกตา รอบ ๆ จมูก รวมถึงบริเวณลำตัว ได้แก่ ข้อพับแขนขา กลางหน้าอก รอบสะดือ สะโพก และขาหนีบ โดยอาจสังเกตได้จากอาการต่อไปนี้
- ผิวหนังตกสะเก็ดเป็นรังแคบนหนังศีรษะ หรือบริเวณที่มีเส้นผม คิ้ว หรือ หนวดเครา
- ผิวมันเป็นแผ่น ปกคลุมด้วยสะเก็ดสีขาวหรือเหลือง หรือมีสะเก็ดแข็งบนหนังศีรษะ ใบหู ใบหน้า หน้าอก รักแร้ ถุงอัณฑะ หรือตามร่างกายส่วนอื่น ๆ
- มีอาการคัน แดง ผิวหนังลอกเป็นขุยสีขาวหรือสีเหลือง และผิวดูมัน
- เปลือกตาอักเสบ มีอาการแดงหรือมีสะเก็ดแข็งติด
- อาจมีอาการปวดหรือคันร่วมด้วย
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์ม
ยังไม่เป็นที่แน่ชัดของสาเหตุการเกิดโรคผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์ม แต่มีทฤษฎีได้พยายามอธิบายสาเหตุการเกิดโรคว่าเกิดจากเชื้อรา Pityrosporum ovale หรือ Malassezia furfur นอกจากนี้ความเครียด อากาศที่เปลี่ยนแปลง หรือสาเหตุทางกรรมพันธุ์อาจทำให้อาการของโรคแย่ลงได้ พบว่าอาการของโรคมักแย่ลงในช่วงฤดูหนาว แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยประกอบกัน ได้แก่
- พันธุกรรม
- ความเครียด
- เชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนัง
- สภาพอากาศที่เย็นและแห้ง
- ภาวะแทรกซ้อนจากโรคบางชนิด รวมทั้งการใช้ยารักษาโรค
สาเหตุของการเกิดเซ็บเดิร์มไม่ได้มาจากการไม่รักษาความสะอาดหรืออาการภูมิแพ้แต่อย่างใด โดยมีโอกาสเกิดกับทารกแรกเกิดและผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 30-60 ปีได้มากกว่าวัยอื่น ๆ และยังพบในเพศชายได้บ่อยกว่าเพศหญิง รวมถึงผู้ที่มีผิวมัน นอกจากนี้การเจ็บป่วยจากโรคหรือภาวะใด ๆ ต่อไปนี้ก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเซ็บเดิร์ม
- โรคเกี่ยวกับระบบประสาทและโรคทางจิต เช่น โรคพาร์กินสัน และภาวะซึมเศร้า
- ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอลง เช่น ผู้ที่รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี โรคตับอ่อนอักเสบ พิษสุราเรื้อรัง และมะเร็งบางชนิด
- โรคเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วน เช่น เบาหวาน
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ภาวะหัวใจล้มเหลว
- โรคการกินผิดปกติ
- โรคลมชัก
- โรคผิวหนังอักเสบโรซาเซีย
- โรคสะเก็ดเงิน
- สิว
- ยารักษาโรคบางชนิด
- การเกา ครูดข่วน หรือการได้รับบาดเจ็บของผิวหน้า
- ติดสุรา
การรักษาโรคผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์ม
วิธีการรักษาโรคผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์มนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดโรค อาการร่วม และความรุนแรงของโรค หากมีอาการของโรคที่หนังศีรษะร่วมกับการเกิดรังแคมักจะให้มีการใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของ zinc pyrithione tar selenium sulfide หรือ salicylic acid หากหนังศีรษะในบริเวณที่เกิดอาการมีลักษณะหนามากอาจมีการแนะนำให้คนไข้ใช้ mineral oil ทาข้ามคืนและสระออกด้วยแชมพูในตอนเช้า หากมีอาการของโรคที่บริเวณหนังศีรษะ ร่วมกับบริเวณลำตัวและใบหน้า อาจมีการแนะนำให้คนไข้รักษาความสะอาดให้ดีและมีการใช้ hydrocortisone ร่วมด้วย
การรักษาด้วยตนเอง
เซ็บเดิร์มที่เกิดขึ้นบนหนังศีรษะนั้นสามารถรักษาด้วยตนเอง โดยใช้แชมพูขจัดรังแคที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไปที่ประกอบด้วยตัวยาต่อไปนี้
- กรดซาลิซิลิก (Salicylic acid) ใช้เป็นประจำทุกวัน
- คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ใช้สัปดาห์ละ 2 ครั้งสลับกับแชมพูที่ใช้ทุกวันเป็นประจำ
- เซเลเนียม ซัลไฟด์ (Selenium Sulfide) ใช้เป็นประจำทุกวัน
- ซิงก์ ไพริไธออน (Zinc Pyrithione) ใช้เป็นประจำทุกวัน
- โคล ทาร์ (Coal tar)
- การทานโปรไบโอติก (Probiotic) เป็นประจำ
เซ็บเดิร์ม ที่เกิดขึ้นบริเวณอื่นที่นอกเหนือจากหนังศีรษะ เช่น ใบหน้าหรือผิวหนัง สามารถบรรเทาด้วยการหาซื้อผลิตภัณฑ์ต้านเชื้อราหรือโลชั่นคอร์ติโคสเตียรอยด์มาลองใช้ รวมทั้งการดูแลตัวเองควบคู่กันไป ดังนี้
- รักษาความสะอาดบริเวณที่เป็นอยู่เสมอโดยการล้างด้วยสบู่และน้ำเปล่า
- ล้างทำความสะอาดร่างกายและหนังศีรษะเป็นประจำ
- ใช้ครีมบำรุงและผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีฤทธิ์รุนแรง
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เป็นมากขึ้น
- ทาครีมคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดอ่อน หากไม่ได้ผลให้ลองใช้ครีมต้านเชื้อราคีโตโคนาโซล
- โกนหนวดเคราให้หมด เนื่องจากหนวดและเคราจะยิ่งทำให้ผิวหนังบริเวณที่เป็นเซบเดิมแย่ลงได้
- สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อเรียบลื่น เพื่อป้องกันการระคายเคือง
- ออกไปรับแสงแดดภายนอก แสงแดดจะช่วยหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อราที่เป็นสาเหตุของการอักเสบ แต่ควรทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันรังสียูวีด้วย
- เลี่ยงการขีดข่วนหรือเกาที่จะทำให้เกิดการระคายเคืองและติดเชื้อตามมาได้ หากคันให้ใช้ครีมไฮโดรคอร์ติโซนหรือคาลาไมน์ช่วยระงับอาการชั่วคราว
- ทำความสะอาดบริเวณเปลือกตาเบา ๆ หากเปลือกตามีลักษณะแดงหรือมีสะเก็ด โดยล้างด้วยแชมพูเด็กแล้วเช็ดสะเก็ดออกด้วยแผ่นสำลี
เมื่อรักษาด้วยตนเองแล้วยังไม่ได้ผล ควรปรึกษาแพทย์และรับการรักษา ซึ่งหากวินิจฉัยว่าเป็น เซ็บเดิร์ม แพทย์อาจสั่งจ่ายยาหรือแนะนำวิธีรักษาต่อไป
การป้องกันโรคเซ็บเดิร์ม
โรคเซ็บเดิร์ม ไม่อาจป้องกันการเกิดของโรคได้ แต่มีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำได้ด้วยการทำตามข้อปฏิบัติต่อไปนี้ หลังจากอาการของโรคหายดีแล้ว
- เซ็บเดิร์ม บนหนังศีรษะ การป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกสามารถใช้แชมพูต้านเชื้อรา เช่น แชมพูคีโตนาโซล (Ketoconazole) ทุก 1-2 สัปดาห์ หมักทิ้งไว้บนศีรษะ 5 นาทีก่อนจะล้างออก
- เซ็บเดิร์ม ตามร่างกาย ควรหมั่นทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่และน้ำเปล่าเป็นประจำทุกวันเพื่อไม่ให้เกิดคราบมันบนผิวหนังที่เป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดเซ็บเดิร์ม และช่วยลดจำนวนของเชื้อราบนผิวหนัง โดยการดูแลรักษาความสะอาดควบคู่กับการใช้แชมพูต้านเชื้อราเช็ดตามร่างกายและหนังศีรษะแล้วล้างออกทุก ๆ 1-2 สัปดาห์ อาจช่วยให้โรคเซ็บเดิร์มไม่กลับมารบกวนอีก แต่บางรายก็จำเป็นต้องใช้ครีมต้านเชื้อราทุก 1-2 สัปดาห์บริเวณผิวหนังที่เกิดเซบเดิมขึ้นครั้งก่อน ทั้งนี้สามารถพูดคุยสอบถามแพทย์ถึงวิธีการป้องกันที่เหมาะสมกับตนเอง
ที่มา : www.pobpad.com
ผลิตภัณฑ์แนะนำ : โบวิส (30 แคปซูล)